top of page
หน้าปก oppame (2).png
รูปภาพนักเขียนOppa Me

ศัลยกรรมปรับโครงหน้า และแก้ไขโครงสร้างจมูก ของคุณโบกี้ไลอ้อน

สวัสดีค่ะ โบกี้ไลอ้อนค่ะ




การทำศัลยกรรมครั้งนี้เป็นศัลยกรรมบนใบหน้าครั้งแรกของโบเลยค่ะ

ก่อนทำคือตัดสินใจนานมาก คิดแล้วคิดอีก คิดอยู่หลายปี ไม่กล้าทำสักที

กลัวไม่ถูกใจบ้าง กลัวหน้าจะเปลี่ยน กลัวหลายอย่างเลยค่ะ รีเสิร์ช

หาข้อมูลอยู่หลายที่ในระยะเวลาหลายปี

สุดท้ายตัดสินใจมาจบที่บาโนบากิ จะทำทั้งที ต้องเป็นโรงพยาบาลทีไว้ใจได้ และใส่ใจในรายละเอียดที่สุด นั่งหาข้อมูลทั้งวี่วัน คนรู้จักหลายคนที่ทำออกมาแล้วสวยแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ตัวเอง พอถามเค้าเหล่านั้นว่าทำที่ไหน ตอบ “บาโนบากิ” หมด! โอเคจบ ชั้นจะทำที่บาโนบากิ!!!

มาถึงวันแรกก็มีพี่เอเจนซี่ดูแล ชื่อพี่เจ๋งค่ะ นางน่ารักมากกกกกกกก ดูแลทุกขั้นตอนตั้งแต่ยืนพาสปอตให้ เราไม่ต้องทำอะไรเลยแค่นั่งรอ รอถ่ายรูป ตรวจเลือด วัดวามดัน เอกสเรย์ CT scan ตรวจคลื่นหัวใจ ฯลฯ ละเอียดมากกกก

ซึ่งตอนแรกบอกตรงๆว่าก็ค่อนข้างหวั่นใจ เนื่องจากโบเป็นคนสุขภาพแย่ม้ากกกก

แต่สรุปก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่า




จากนั้นก็ได้เจอคุณหมอโอ ที่จะทำโครงหน้าให้โบค่ะ คุณหมอเปิดภาพเอกซเรย์ทั้งหมดให้ดู ก็จะเห็นได้ว่าโบเป็นคนไม่มีคางเลย แล้วกระดูกตรงโหนกแก้มก็บานออกมา ซึ่งการมาปรับโครงหน้าครั้งนี้ โบอยากให้มันออกมาเป็นธรรมชาติที่สุด เป็นตัวโบที่สุด โดยยังมีเอกลักษณ์ของกรามตัวเองไว้ (ไม่ได้ตัดกรามออกทั้งหมด)




นี่เป็นรูปหน้าของโบก่อนผ่าตัดค่ะ

คุณหมอเข้าใจโบมากๆว่าต้องการอะไร คุณหมอเลยบอกว่าจะยุบโหนกแก้มให้ ตัดกรามทั้งสองข้างของเราออกเล็กน้อย แล้วกรามที่ตัดมา เอามาต่อเป็นคาง  o_O ฟังแล้วแบบ ห้ะะะ โลกเรามันไปไกลถึงขนาดนี้แล้วหรอวะ

เราสามารถสวยขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ซิลิโคนหรือสิ่งแปลกปลอมใดๆ เลย ใช้แค่กระดูกตัวเองเนี่ยแหละ!!

 ตื่นเต้นมากกำลังจะมีคางใหม่เป็นของตัวเองกับเค้าบ้างแล้ว แต่คงเจ็บน่าดู

แต่คุณหมอบอกให้อดทนและเราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน !! โอเคเอาก็เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้ว555555555




หลังคุยเสร็จก็ได้ไปพบคุณหมออี ซึ่งเป็นคุณหมอที่จะทำจมูกให้กับโบ เอาจริงที่ผ่านมา

คนส่วนใหญ่จะคิดว่าโบทำจมูก แต่ไม่ได้ทำนะ นี่ครั้งแรกเลย ตอนเข้าไปพบคุณหมออี

คุณหมอบอกว่าจมูกที่เรามีมันเข้ากับรูปหน้าอยู่แล้ว สมมาตรกับหน้าแล้วจะมาทำอีกทำไม ? 55555555

เราก็คิดในใจ เออนั่นดิ ทำทำไมวะ แต่เอาเถอะ ไหนๆ คนก็คิดว่าเราทำอยู่ละ ก็ทำจริงๆไปซะเลยละกัน 55555555




โบบอกคุณหมออีว่า อยากให้ปลายจมูกเล็กลง กับสันดั้งสูงขึ้นหน่อย คุณหมอบอกว่าจะทำปลายจมูกให้เล็กลง โดยใช้กระดูกอ่อนหลังใบหู แต่จะไม่ทำสันให้สูงไปกว่านี้ เพราะหน้าจะดุ เราก็เออ ออ ห่อหมกละ เชื่อมือคุณหมอ จะให้ทำทรงอะไรก็ทำไปเลยค่ะหนูได้หมด 55555555555(แบบนี้ก็ได้หรอ) เอาที่มันเข้ากับหน้า

หลังจากนั้นโบได้กลับไปพักผ่อน งดน้ำงดอาหารอย่างน้อย 8 ชม. ตามหน้าที่ของคนไข้ที่ดี

มาถึงวันผ่าตัดแล้วค่าาา ~




พอมาถึงรพก็เปลี่ยนชุดและรองเท้าของรพ พยาบาลจะมาเช็คว่าเราได้งดน้ำงดอาหารตั้งแต่กี่โมง ทานยาอะไรอยู่บ้าง (โบมีทานยาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า / แพนิค / anxiety / โรคกระเพาะ) ฯลฯ ตรวจความเรียบร้อยก่อนดมยาสลบและผ่าตัด มีการอธิบายรายละเอียดของการผ่าตัดและการดูแลตัวเอง อาการชาต่างๆ และให้เราเซ็นรับทราบ ถ่ายรูปก่อนผ่าตัด พอถึงนาทีที่กำลังจะผ่าจริงๆ รู้สึกกังวล รู้สึกเครียด วิตก กลัวเจ็บปวด กลัวทุกอย่าง ตอนนั้นเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ทำอะไรไม่ได้แล้ว เรามาถึงตรงนี้แล้ว เอาวะ สู้! แล้วเจอกันหลังผ่าตัดค่ะ

หลังผ่าตัด

หลังจากที่โบเข้าไปผ่าตัดตอนสิบโมง ก็ได้ออกจากห้องผ่าตัดมาประมาณห้าหกโมง สภาพตอนนั้นก็คือนึกว่าจะเจ็บกว่านี้ แต่ความรู้สึกมันแบบชาๆ ตึงๆ อึดอัดจากสายเดรน(สายระบายเลือด)ที่อยู่ในปาก เอาจริงออกมาก็เหมือนจะมีสติเลยนะ พูดรู้เรื่องอยู่ 

แต่พูดไม่ค่อยได้มากเพราะอ้าปากไม่ได้ และเจ็บคอ มากกกกกก (เป็นสิ่งที่ทรมานกว่าการผ่าตัดซะอีก) แล้วตอนนั้นคือเค้าห้ามกินนมกินน้ำอะไรเลย เพราะต้องนั่งเฉยๆ ลืมตา แล้วขับแก๊สยาสลบออกมาจนกว่าจะหมด โอ้โห สุดยอด ทำอะไรไม่ได้เลย นั่งอยู่เฉยๆพ่นลมหายใจถึงสี่ทุ่มครึ่ง ส่วนที่แขนก็เจาะด้วยสายน้ำเกลือ ยาแก้ปวด และยาแก้ปวดท้อง (เพราะโบเป็นโรคกะเพาะ) ไหนจะสายเดรนในปากที่สอดอยู่ทั้งสองกระพุ้งแก้ม 

จริงๆ ไม่เจ็บไม่ปวดอะไรเท่าไหร่เพราะชาๆ ตึงๆ แต่รู้สึกไม่สบายตัวเอาซะมากๆ เนื่องจากหายใจทางจมูกไม่ได้ เพราะมีผ้าก็อตและเฝือกจมูกที่เพิ่งทำ เพอจะหายใจทางปาก ก็ไม่ได้ เพราะอ้าปากไม่ได้และมีสายเดรน นอนคิดทั้งคืนว่าจะหายใจทางไหนดี บวกกับปวดฉี่ทั้งคืน ฉี่เสร็จกลับมานอนคิดต่อ สรุปคือคิดอยู่นั่นแหละ คิดจนไม่ได้นอน!!!! จนเช้าประมาณ 9 โมง พยาบาลมาเช็คถุงเลือดและแจ้งว่าตอนนี้ให้กินน้ำหรือกินนมไว้ก่อนเลย เพราะเดี๋ยวจะกินไม่ได้อีกหลายชม. เนื่องจากจะถอดสายเดรนเลือดในกระพุ้งแก้ม ซึ่งเมื่อถอดปุ๊บ กระพุ้งแก้มมันจะเป็นรู ซึ่งรูเหล่านี้ ใช้เวลาหกชั่วโมงในการสมาน นี่ก็จิบนมไปหนึ่งจิบ มันไม่หิว ไม่อะไรเลย ไม่สบายตัวมากๆ ไม่อยากกินไรเลย

จากนั้นคุณหมอโอมาหา บอกว่าการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี ให้อดทนมากๆ และคุณพยาบาลก็มาแกะทุกสิ่งที่พันไว้ที่หัว และทำแผลตามรอยกรีดข้างหู จมูก และดึงสายเดรนออก ตอนดึงคือพีค แต่พีคยังไงขอไม่บอก ต้องลองไปทำเอง!! จากนั้นก็มีพี่ๆ ล่ามคนไทยมาอธิบายวิธีการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด และเราก็เปลี่ยนชุดกลับที่พักได้จ้า ~

หลังผ่าตัดวันแรก




หลังผ่าตัดวันแรก ก็รู้สึกดีใจที่ได้ออกจากรพ. ความกดดันอะไรหลายๆอย่างก็น้อยลง แต่อยากบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากกกกของชีวิต คือมันไม่ได้เจ็บแผลในปากแต่อย่างใด (ตรงกรามก็มีหน่วงๆบ้าง) แต่ความทรมานนั้นคือความไม่สบายตัว และตึงไปหมด แล้วคือหน้าบวมมากๆ เวียนหัวอีก กินอะไรก็ไม่ได้เลยเพราะอ้าปากไม่ได้ กินได้แค่น้ำเปล่ากับนม ลำบากมากตอนกินยา มันรู้สึกดีเพรสมาก เวลาอยากทำอะไรแล้วไม่ได้ทำ เพราะอยู่ในสภาพนี้ แต่พอตื่นมามองกระจกแล้วบอกตัวเองว่า เดี๋ยวจะสวยแล้ว ความดีเพรสนั้นก็ทุเลาลง  และเพิ่งสังเกตว่าขอบมุมปากสองข้างมีแผล ที่น่าจะเกิดจากการโดนแหกปากตอนผ่าตัด (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ)

พอครบหนึ่งวันเราจะสามารถแกะเทปใต้คางออกได้ ซึ่งทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันแกะ ยาก มาก !!!! ซึ่งก็โชคดีมากที่โบเตรียมออยล์มา ทาให้มันลื่นๆ แล้วก็ดึงออกอย่างเลือดเย็น 5555555 (ก็เห็นบอกแกะยาก) นาทีนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเห้ย กระดูกที่คางจะหลุดไหม กว่าจะเถียงกับตัวเองได้จบ ก็แกะออกหมดแล้ว ด้วยความติดแน่นอย่างบ้าระห่ำของเทปกาว ทำตัวเทป ทิ้งคราบกาวไว้บนหน้าอยู่เยอะมากกกก ซึ่งจริงๆแล้วเค้าห้ามล้างหน้าเพราะห้ามแผลตรงจมูกโดนน้ำ แต่คนอย่างโบจะไม่ปล่อยให้หน้าสกปรกเด็ดขาด!! คือทนไม่ได้จริงจริ๊ง ใช้คลีนซิ่งเช็ดออกจนมันหมด และล้างหน้า (ล้างโดยไม่ให้โดนจมูก)จนได้ ซึ่งวันนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี อยู่รอดด้วยอาหารเหลวจ้า

หลังผ่าตัดวันที่ 3




วันนี้หน้าบวมที่สุด บวมเหมือนหน้าจะแตกแล้วจริงๆ รู้สึกไม่มีแรงเพราะกินอะไรไม่ได้เลยและคันหัวมากอยากสระผม TT

เห็นเขาบอกให้เดินเยอะๆ มันจะลดบวมได้เร็ว เพราะเลือดมันจะได้สูบฉีดไหลเวียนดี

แต่นี่โบแค่เดินไปเซเว่นก็รู้สึกไม่ไหวแล้วอะจะเป็นลม เพราะในร่างกายนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย มีแต่นมกลับน้ำเปล่าและยา  TT

  คนเป็นโรคกระเพาะต้องอดอาหารแบบนี้สุดท้ายก็ปวดท้องจนทนไม่ไหว สุดท้ายบอกพี่เจ๋ง (เอเจนซี่) พี่เค้าช่วยประสานงานกับรพ. และพากลับไปฉีดยาที่รพ. (ยารักษาระบบทางเดินอาหาร) เพื่อที่โบจะได้ไม่ต้องทนกับอาการปวดท้องอีก แง้ ทรมานนสุดๆ แต่พอฉีดยาอาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง จากนั้นก็เดินกลับโรงแรมไปพักค่าา

หลังผ่าตัดวันที่ 5




แผลตรงขอบมุมปากสองข้างเริ่มตกสะเก็ดและจางหายไปบ้าง วันนี้ตอนเช้าพยายามจะกินโจ๊กที่เตรียมมา แต่สุดท้ายก็กินไม่ได้ เพราะกลัวเศษอาหารจะเข้าไปติดอยู่ในแผล แงๆๆ เมื่อไหร่จะกินข้าวได้เนี่ยไม่มีแรงแล้วนะ TT

วันนี้โบมีเข้าไปพบคุณหมออี ที่ทำจมูกให้โบ และมีเข้าไปทำแผล เช็คอัพต่างๆ อบอ๊อกซิเจนลดบวม

พอเข้าไปถึงโรงพยาบาลก็มีพี่เจ๋งคอยประสานกับทางรพ ให้เหมือนเดิมค่ะ แล้วก็เข้าไปอบอ๊อกซิเจน พออบเสร็จคุณพยาบาลก็ทำแผลให้ บอกตามตรงพยาบาลเกาหลีมือหนักมากแง้ แอบเจ็บ แนะนำคนที่จะมาทำว่าให้ทำความสะอาดดีๆ นะคะ เพราะถ้าเราทำความสะอาดไม่ดี คุณพยาบาลจะเป็นคนทำความสะอาดให้เรา เอาจริงเราเองนี่แหละที่จะรู้น้ำหนักมือตัวเองมากที่สุด วันนี้ก็ไม่ได้ไปไหนมาก รู้สึกปวดหน่วงๆ บริเวณสันกราม สุดท้ายก็กลับห้องมานอนค่ะ

นอนหลับไม่สบาย และหลับไม่สนิทเลยสักวันตั้งแต่ผ่าตัดมา เพราะไม่สบายตัวเอาซะเลยย TT อดทนๆๆๆๆ ท่องไว้ และวันนี้ได้สระผมแล้วค่ะ ได้คูปองสระผมฟรีจากพี่เจ๋ง รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเยอะเลยค่า

หลังผ่าตัดวันที่ 6




อัพเดทรูปหลังแกะเผือกจมูก และตัดไหมหน้าจมูกออกแล้ว รู้สึกโล่งขึ้นระดับหนึ่งเลย 555

แต่ก็ยังต้องล้างแผลในจมูกต่อไป จนกว่าจะตัดไหมในจมูกออกนะคะ วันนี้หน้าก็ยังบวมตุ่ย แถมยังช้ำเยอะอยู่เลยT^T

หลังผ่าตัดวันที่ 7 




วันนี้อยู่เกาหลีวันสุดท้ายค่ะ เป็นวันเดียวกับที่จะต้องไปเช็คอัพที่ รพ. ตื่นแต่เช้ามาถึงรพ. 11:30 เพื่อมานวดหน้าลดบวมค่ะ นวดไปแอบเสียวกระดูกจะโยกย้ายมาก555555555 แต่อยากบอกว่าเป็นขั้นตอนที่สบายที่สุดในการมาทำศัลยกรรมครั้งนี้ คือนวดสบายมาก แทบหลับ แล้วเค้าจะมาส์กหน้าเย็นๆให้เราด้วยค่ะ รู้สึกสดชื่นหน้าสะอาดอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากนั้นก็ได้ไปฉายแสงลดบวม เช็คแผล (และแผลก็สะอาดดีค่ะ อิอิ) จากนั้นได้ทำ CT scan และเข้าไปพบคุณหมอโอ ที่เนรมิตรโคตรงหน้าให้กับโบค่ะ พอเห็นฟิล์มเอ็กสเรย์แล้วบอกตามตรงว่าตกใจมาก คุณหมอได้ตัดกรามสองข้างของโบเอามาต่อที่คางและใช้สกรูยึดไว้ O_o คือเห็นแล้วก็รู้สึกว่าโลกเรามันไปได้ไกลถึงขนาดนี้แล้วหรอวะ ขนาดที่ศัลยกรรมได้โดยใช้กระดูกตัวเอง นี่ถ้าทำมาแล้วใครด่าว่าหน้าปลอมนี่ จะเอาฟิล์มเอกสเรย์ฟาดหน้ากลับไปเลยจ่ะ หน้าไม่ปลอมจ่ะ กระดูกฉันเอ๊ง!!!

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่โรงพยาบาลแล้ว พี่เจ๋ง สุดยอดแห่งเอเจนซี่ ได้พาไปร้านขายเค้กข้างรพ  ซึ่งตอนนั้นอยากกินเค้กมาก อยากกินอะไรก็ได้ที่มันน่าจะพอกินได้บ้าง เพราะฟันโบยังไม่สบกันเลยเนื่องจากปากบวม (ไม่สามารถเคี้ยวอะไรได้เลยค่ะ ต้องกลืนสถานเดียว)

พี่เจ๋งบอกว่า ถ้าอยากกินก็ลองซื้อเค้กไปทานดู ใช้ลิ้นค่อยๆ ดุนๆ เคี้ยวๆ เอาให้พอหายอย่าง แต่มีข้อแม้ว่าต้องบ้วนน้ำตามให้สะอาด ไม่งั้นแผลจะอักเสบได้ … จากนั้นก็ซื้อชีสเค้กไป บิดเป็นก้อนเล็กๆ ค่อยๆ ใส่ปาก แง้อร่อยมากกกกกก T_T ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันรู้สึกฟินมากๆ

และวันนี้ก็ไปเดินเล่นในเมืองก่อนไปสนามบินค่ะ นั่งรถเมลล์ไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็นั่งรถบัสไปสนามบิน มีปวดหน้าบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีจนถึงประเทศไทยค่ะ

วันที่ 14 หลังผ่าตัด




วันนี้เริ่มกินอะไรได้มากขึ้นแล้วค่ะ ฟันเริ่มสบกัน โบเริ่มทานอาหารได้บ้าง พวกก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารที่ยังไม่ค่อยแข็งมาก

ตั้งแต่ผ่าตัดมาวันนี้เป็นวันแรกที่จะลองเริ่มแต่งหน้าค่ะ แต่เอาจริงๆคือมันแต่งไม่ติดเลย งงมาก สภาพผิวน่าจะยังปรับตัวไม่ได้ วันนี้โบมีนัดตัดไหมในปาก ที่เมโกะคลินิค (ทางบาโนบากิ ได้ประสานกับ เมโกะคลินิค ซึ่งเป็นคลินิคเดียวกับที่โบเคยทำหน้าอกมาเมื่อ4ปีที่แล้ว)




โบได้เดินทางไปที่เมโกะ ซึ่งได้ทำใจไว้นิดนึงที่เค้าว่ากันว่าการตัดไหมในปากนั้นเจ็บมาก ตอนนั้นก็คิดนะว่าเออ เราทำหน้ามา ทนมาได้ขนาดนี้ กะอีแค่ตัดไหม คงไม่เจ็บมาก….. ผลปรากฏคือ เมื่ออ้าปาก นาทีที่คุณพยาบาลดึงไหมออก มันรู้สึก… พูดตามตรงเลยนะคะ   เจ็บค่ะ  เจ็บมาก เจ็บที่สุด เจ็บแบบชนิดที่ไม่สามารถอดทนได้ ตอนนั้นคือร้องไห้เลยค่ะ แบบ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ขอไม่ตัดได้ไหม555555555 ไม่ไหวจริงๆค่ะ เจ็บมากกกกกกกกกกกกกกกก คือไม่ได้ทำใจไว้ว่าจะเจ็บขนาดนี้ T_T แต่สุดท้าย คุณพยาบาลน่ารักมากค่ะ พยายามช่วย พยายามอดทน จนสุดท้ายก็ตัดออกจนหมดปาก แง้ๆๆๆๆๆๆๆ

วันนี้รู้สึกหน้าบวมๆเหมือนอมอะไรไว้ในปากตลอด แล้วใต้ตาก็ยังมีสีคล้ำๆอยู่ค่ะ ยังไม่ค่อยดีขึ้นเลย จะมีคอนเสิร์ตในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ไม่รู้จะรอดไหม มาลุ้นกันค่ะ ^_^

1 เดือน หลังผ่าตัด